ทุกคนรู้สึกกันไหมว่า.. ทำไมช่วงนี้อากาศบ้านเราถึงแปลก ๆ เดี๋ยวก็ร้อนจัด ๆ เดี๋ยวฝนก็ตกหนัก ทำให้ร่างกายหลาย ๆ คนปรับตัวไม่ทัน จนเป็นทั้งภูมิแพ้ ไข้ หวัด และอื่นๆ ตามมามากมาย นอกจากอากาศที่ร้อนมากจนผิดปกตินี้ ยังส่ง ผลไปถึงอารมณ์ของเราที่ต้องร้อนตามไปด้วย เพราะอะไรทำไมประเทศไทยถึงได้ร้อนได้ถึงขนาดนี้นะ???
เล่าให้ฟัง EP. นี้มีคำตอบมาให้ทุกคนกันแล้วว่า … “ตอนนี้หมดยุคโลกร้อนกันแล้ว เพราะโลกเรากำลังเข้าสู่ยุคโลกเดือด” กันแทน แล้วยุคโลกเดือดคืออะไร? ส่งผลอะไรกับชีวิตของเรา? และเราควรทำอย่างไรเพื่อรับมือกับโลกเดือดนี้?? วันนี้เรามาหาคำตอบกัน!!
หมดยุคโลกร้อน เข้าสู่ ยุคโลกเดือด
ประเทศไทยเข้าสู่ยุคโลกเดือด!!
ล่าสุด นายอันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ (UN) ได้ประกาศว่า “ยุคของภาวะโลกร้อนได้สิ้นสุดลงแล้ว และจากนี้ไป โลกเข้าสู่ยุค โลกเดือด” หลังจากที่บรรดานักวิทยาศาสตร์ได้ยืนยันว่า เดือนกรกฎาคม 2566 เป็นเดือนที่โลกร้อนจัดที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกในประวัติการณ์
วันที่ 23 ส.ค.2566 นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย ได้ให้ความเห็นกับเรื่องนี้ โดยกล่าวว่า จากการเก็บข้อมูลอย่างต่อเนื่อง พบว่าตั้งแต่ปี 2558 – 2565 มีอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์ สำหรับภูมิภาคเอเชียพบอุณหภูมิเฉลี่ยในปี 2565 สูงกว่าค่าเฉลี่ย 30 ปีย้อนหลัง
สำหรับประเทศไทย พบว่า ในปี 2566 มีแนวโน้มอุณหภูมิเฉลี่ยสูงสุดเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 1.5 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับค่าเฝ้าระวังผลกระทบต่อสุขภาพจากความร้อน และคาดว่าจะมีแนวโน้มรุนแรงอย่างต่อเนื่องถึงเดือนเมษายน 2567 เนื่องจากปรากฏการณ์เอลนีโญ นอกจากนี้ องค์การอนามัยโลกยังได้คาดการณ์ว่าประเทศไทยจะมีผู้สูงอายุเสียชีวิตจากความร้อนในอัตรา 58 ต่อแสนประชากร หรือ 14,000 ราย ภายในปี 2623 หรือในอีก 57 ปีข้างหน้า
ภาวะโลกเดือด (Global Boiling)
ก่อนอื่นเลย เราควรทำความเข้าใจในภาวะโลกร้อนกันก่อน ว่า โลกร้อนคืออะไร เพื่อให้เราเข้าใจถึงโลกเดือดกันมากขึ้น และเข้าใจว่าทำไมภาวะโลกเดือดถึงน่ากลัวกว่าโลกร้อน … "ภาวะโลกร้อน" หรือ ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเนื่องจากโลกไม่สามารถระบายความร้อนที่ได้รับจากรังสีดวงอาทิตย์ออกไปได้ จึงทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกสูงขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากปรากฏการณ์เรือนกระจก (Greenhouse Effect)
ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิทยาศาสตร์ทางทะเล และอาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เปิดเผยว่า "ภาวะโลกเดือด" ในแง่ของวิทยาศาสตร์ไม่มีคำนี้ แต่คำนี้ออกมาจากการพูดของเลขาธิการสหประชาชาติ (UN) ว่า “โลกร้อนเข้าสู่จุดวิกฤติ และที่สำคัญคือ ความวิกฤตินี้ยังไม่เห็นทางออก และจะมีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ”
โดยภาวะโลกเดือด อาจจะเกิดขึ้นจากสถานการณ์ที่ผ่านมา 4-5 ปี ซึ่งเป็นช่วงของลานีญา ทำให้ประเทศไทยมีฝนตกหนัก น้ำท่วม นอกจากนี้ยังมีเรื่องของโควิด-19 ทำให้คนหันไปสนใจเรื่องของโรคระบาดมากกว่า แต่ในปีนี้เป็นปีของเอลนีโญ จะทำให้โลกร้อนขึ้น และแล้งมากขึ้น
เพราะฉะนั้นเมื่อโลกร้อนถึงช่วงของเอลนีโญ จึงเป็นปรากฏการณ์ซ้อนทับกัน ทำให้อุณหภูมิของโลกสูงเป็นประวัติการณ์ โดยเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ พบว่า เป็นเดือนที่ร้อนที่สุดตั้งแต่เคยมีบันทึกมา และยังเชื่อว่าจะร้อนยิ่งกว่านี้ในอนาคต
ปัจจัยที่ทำให้เกิด ภาวะโลกเดือด หรือทำให้ปี 2565 มีอุณหภูมิสูงกว่าอดีต 1,000-10,000 ปี
1. การปล่อยแก๊สเรือนกระจกสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้อุณหภูมิเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 1.2 องศาเซลเซียส
2. ปรากฏการณ์เอลนีโญที่รุนแรง ทำให้อุณหภูมิเพิ่มขึ้นอีก 0.2 - 0.3 องศาเซลเซียส
3. เป็นช่วงเวลาปลดปล่อยพลังงานสูงจากดวงอาทิตย์ ทำให้อุณหภูมิเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 0.05 องศาเซลเซียส
4. การระเบิดของภูเขาไฟ Tonga-Hunga ที่ประเทศตองกา ในวันที่ 15 ม.ค. 2565 ทำให้อุณหภูมิเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 0.035 องศาเซลเซียส
ดังนั้นอุณหภูมิสูงขึ้นเฉลี่ยโดยรวมของโลกจึงแตะประมาณ 1.5 ± 0.2 องศาเซลเซียส ในเดือนกรกฎาคม 2565 ซึ่งเป็นขีดจำกัดตามข้อตกลงปารีส 2015 ที่จะควบคุมอุณหภูมิของโลกไม่ให้สูงเกิน 1.5 องศาเซลเซียส ในปี ค.ศ. 2100
ผลกระทบของภาวะโลกเดือด
เหตุการณ์โลกเดือด ได้สร้างความรุนแรง และความเสียหายบนโลกใบนี้ เช่น เหตุการณ์คลื่นความร้อนในเอเชีย อเมริกา ยุโรป และแอฟริกา น้ำท่วมใหญ่ในอินเดีย เกาหลีใต้ จีน ฟิลิปปินส์ เป็นต้น เกิดภัยพิบัติต่างๆ เช่น ไฟไหม้ป่า ภัยแล้ง น้ำท่วมฉับพลันเพิ่มขึ้น และรุนแรงมากขึ้น ทั้งยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นการเจ็บป่วยจากมลพิษทางอากาศและภัยแล้ง การบาดเจ็บและเสียชีวิตจากน้ำท่วม รวมถึงการเสียชีวิตจากสภาพอากาศที่ร้อนจัด
นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญจากหลายสถาบัน เผยว่า ‘ภาวะโลกเดือดส่งผลกระทบต่อมนุษย์เป็นอย่างมาก รวมถึงผลผลิตทางการเกษตร ภัยธรรมชาติ ความเป็นอยู่ของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลก’ โดยนักวิจัย เปิดเผยอีกว่า ‘การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศในสิ่งแวดล้อม มลภาวะจากสิ่งต่างๆ ส่งผลต่อเมแทบอลิซึมในร่างกายของเด็กเป็นอย่างมาก ทำให้เด็กกว่า 90% ที่ช่วงอายุต่ำกว่า 15 ปี หายใจเอามลพิษเข้าไป’
ล่าสุดยูนิเซฟ องค์กรเพื่อเด็กและเยาวชน มีความกังวลว่าภาวะโลกเดือดจะส่งผลกระทบต่อเด็กกว่า 1,000 ล้านคนทั่วโลก ซึ่งจะส่งผลต่อทุกช่วงอายุตั้งแต่ในครรภ์ ไปจนถึงวัยรุ่น และอากาศร้อนจัดอาจมีส่วนทำให้เด็กคลอดก่อนกำหนด และมลพิษต่าง ๆ ยังส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของเด็กในครรภ์ นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มทำให้เกิดโลกเครียดอย่างรุนแรง เกิดภาวะซึมเศร้าได้ง่าย กระทบต่อสภาพจิตใจในระยะยาวอีกด้วย
การเตรียมตัวและปรับตัวเข้าสู่ภาวะโลกเดือด
ผู้เชี่ยวชาญจากคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) ร่วมกับนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกในการประเมิน ได้เขียนรายงานฉบับล่าสุด (IPCC AR6-2022) เพื่อแนะนำไปยังหลายประเทศกำลังพัฒนา รวมทั้งประเทศไทยโดยต้องให้ความสำคัญกับมาตรการการปรับตัว เนื่องจากผลกระทบได้เกิดขึ้นแล้ว และจะรุนแรงมากยิ่งขึ้นในอนาคต ดังคำกล่าวที่ว่า "โลกกำลังป่วย ไทยกำลังเปื่อย" ดังนั้นเราจึงต้องมีรัฐบาลเข้ามากำหนดนโยบายด้านการปรับตัวอย่างเป็นรูปธรรม
ขั้นตอนการเตรียมรับมือและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ดังนี้
1.ร่วมมือป้องกันไม่ให้สถานการณ์ภาวะโลกเดือดมากกว่าเดิม โดยช่วยกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น ลดการใช้พลาสติก ลดการเผาที่ปล่อยมลพิษทางอากาศ ลดการใช้พลังงาน ลดขยะในครัวเรือน และเลือกใช้พลังงานสะอาดหรือพลังงานหมุนเวียน เป็นต้น
2.เตรียมปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น หมั่นติดตามสภาพอากาศ หากพบว่า มีสภาพอากาศร้อนขึ้น ควรดื่มน้ำสะอาดบ่อยๆ สวมเสื้อผ้าที่มีสีอ่อน ระบายอากาศได้ดี แต่หากมีความจำเป็นต้องทำกิจกรรมภายนอกอาคาร ควรสวมเสื้อแขนยาว หมวกปีกกว้าง แว่นตา และทาครีมกันแดด รวมถึงควรงดดื่มสุรา น้ำหวาน น้ำอัดลม สำหรับกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ เด็ก หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงสูง ควรมีผู้ดูแลอย่างใกล้ชิด และเตรียมเบอร์โทรศัพท์ 1669
Asean Sustainable Energy Week (ase) 2023
หลังจากที่ได้ทราบถึงภาวะโลกเดือดคืออะไร ปัจจัย ผลกระทบ และขั้นตอนการปรับตัวกับภาวะโลกเดือดกันไปแล้ว หลายคนคงรู้สึกว่า โลกเดือดเป็นภาวะที่น่ากลัว อย่างเราจะช่วยอะไรกับภาวะโลกเดือดได้บ้าง.. แต่จริงๆแล้ว ทุกคนสามารถช่วยทำให้สถานการณ์ดีขึ้นได้ โดยในตอนนี้ทางประเทศไทยได้ตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน ภายในปี 2030 เพื่อก้าวเข้าสู่สังคมที่เป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ภายในปี 2065 จึงทำให้เกิดงาน “ASEAN Sustainable Energy Week 2023” ขึ้นมา
ASEAN Sustainable Energy Week 2023 คือ งานแสดงสินค้าและการประชุมระดับนานาชาติที่ครอบคลุมมากที่สุดในภูมิภาค ด้านพลังงานทดแทน การจัดการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า เพื่อเป็นจุดนัดพบระดับภูมิภาคที่ผู้นำ ผู้กำหนดนโยบาย และผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมพลังงานจากทั่วทั้งภูมิภาค มาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น นำเสนอเทคโนโลยี นวัตกรรมและที่สำคัญที่สุดคือการทำธุรกิจในระดับท้องถิ่นและระดับภูมิภาค เพื่อเป็นฟันเฟืองสำคัญในการร่วมกันผลักดันและขานรับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืนต่อไป
งานนี้เป็นการร่วมกันระหว่าง อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ กับกระทรวงพลังงานและสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย ที่นำทัพหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และเครือข่ายพันธมิตรด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมชั้นนำจากทั่วโลก มาร่วมจัดงานมหกรรมเทคโนโลยีและการประชุมนานาชาติด้านพลังงานทดแทน สิ่งแวดล้อม การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าที่ครบครันที่สุดของภูมิภาค ระหว่างกรุงเทพฯ เพื่อร่วมผลักดันภาคอุตสาหกรรมในการเปลี่ยนผ่านพลังงานสะอาด สู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนอย่างยั่งยืน
โดยงาน ASEW ในปีนี้ได้ชูแนวคิด “Powering the Clean Energy Transition Toward Carbon Neutrality Goal” หรือ “ขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านพลังงานสะอาดสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน” โดยจะมีการนำเสนอเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน เทคโนโลยีด้านอุตสาหกรรมพลังงานและสิ่งแวดล้อม แบบครบวงจร โดยจัดควบคู่กับงาน Electric Vehicle Asia 2023 (EVA) ที่จัดต่อเนื่องร่วมกันปีนี้เป็นปีที่ 8 แล้ว โดยเป็นเวทีสำคัญด้านยานยนต์ไฟฟ้าที่รวบรวมผู้ผลิต ผู้ประกอบการ และผู้ที่เกี่ยวข้องใน EV Eco System และ Value Chain ทั้งหมด ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า
โดยในงาน ASEW ทางกระทรวงพลังงาน โดยกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน จะออกบูทจัดนิทรรศการให้ความรู้แก่ผู้เข้าเยี่ยมชม และจะมีการสัมมนาในหัวข้อที่น่าสนใจหลากหลายหัวข้อ
สำหรับผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงาน ASEAN Sustainable Energy Week 2023 และ งาน Electric Vehicle Asia 2023
งานจัดขึ้นวันที่ 30 สิงหาคม ถึง 1 กันยายน 2566 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
Email : asew-th@informa.com
Website : https://asew-expo.com
Facebook : https://www.facebook.com/ASEweek.thailand/
.
.
อ้างอิง
https://www.thairath.co.th/news/sustainable/2719014
https://www.pptvhd36.com/health/news/3896
https://thaipublica.org/2023/07/un-chief-says-era-of-global-boiling-has-arrived/
https://www.asew-expo.com/2023/en/index.asp
https://www.greennetworkthailand.com/asew-2022/
หากถ้าคุณอยากได้การจัดงาน #Event แบบเต็มรูปแบบและครบวงจร ในส่วนของระบบลงทะเบียนหน้างาน หรือต้องการทำงาน Trade ในรูปแบบ Business Matching รวมไปถึงงาน Live Streaming และงาน #Virtual ต่างๆ สามารถติดต่อเราได้ที่ ..
.
🌏Website : www.eventpass.services
📱 LINE Official @eventpassservices